Daily Mirror

สร้างสรรค์มุมมอง
อย่างรอบด้าน
เห็นมิติที่กว้างกว่า

ผมถูกค้นกระเป๋าก่อนขึ้นเครื่อง ข้อหาพกพาอาวุธ

ผมจำไม่ได้ว่า ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเมื่อปีไหน แต่จำได้ว่า ขึ้นเครื่องกะเขาครั้งแรก ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเมื่อปีนั้น วันนั้นเป็นวันเด็ก และก็ไม่ใช่วันเด็กธรรมดาๆ นะขอรับ เป็นวันเด็กแห่งชาติเสียด้วยนะ ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตบักหำน่อย

ผมจำไม่ได้ว่า ขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเมื่อปีไหน แต่จำได้ว่า ขึ้นเครื่องกะเขาครั้งแรก ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเมื่อปีนั้น วันนั้นเป็นวันเด็ก และก็ไม่ใช่วันเด็กธรรมดาๆ นะขอรับ เป็นวันเด็กแห่งชาติเสียด้วยนะ ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตบักหำน่อย แม้ว่าเครื่องบินที่ขึ้นในวันนั้น จะไม่ได้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงๆ อย่างน้อยก็ได้โม้กะเพื่อนได้หลายวันว่า ได้ขึ้นไปวิ่งเล่นบนเครื่องบิน
.
แล้วก็จำไม่ได้อีกว่า ได้ขึ้นเครื่องที่บินขึ้นได้จริงๆ วันไหน แต่จำได้ว่า ได้ขึ้นเครื่องที่เขาเรียกกันว่า เครื่องช็อท ที่จุผู้โดยสารได้น้อยกว่ารถสองแถว 
ด้วยความที่มันไม่ใหญ่กว่ารถสองแถว ก็เลยไม่มีความประทับใจอะไรกับ “รถตุ๊กตุ๊กติดปีก” ที่บินได้คันนั้น แล้วชีวิตที่ต้องเดินทางก็เลยทำให้ต้องได้ขึ้นเครื่องกะเขาอีก ตามความจำเป็น
.
ล่าสุด ก็ขึ้นเครื่องไปลงดอนเมือง เพื่อนั่งรถฮอนด้าที่รับพาไปเมืองริมน้ำแคว โอ่อ่านั่งสบาย ไม่อึดอัดเหมือนถูกยัดเป็นปลากระป๋องอยู่บนเครื่อง 
แล้วเรื่องที่เป็นเรื่องให้ได้มาเขียนเล่าสู่กันฟังในวันนี้ มิได้เกิดขึ้นในการเดินทางขาไปลงดอนเมือง แต่เกิดขึ้นในขากลับก่อนที่จะขึ้นเมืองที่ดอนเมือง
.
กระเป๋าเดินทางของผมถูกเรียกกลับไปเข้าเครื่องสแกนใหม่ แล้วถูกถามว่า “พี่มีมีดพกหรือของมีคมมาด้วยมั้ย?” 
“ไม่มีครับ..น่าจะเป็นที่ตัดเล็บกับตะไบเล็บที่ติดกระเป๋าเดินทางมาตลอด” เป็นมีดพกหรือมีดพับละครับ?” ผมตอบไปว่าไม่มีอย่างมั่นใจ แล้วก็ลงเอยด้วยการขอให้เปิดกระเป๋า แล้วบอกตำแหน่งให้ผมล้วงหยิบขึ้นมาดู
.
พอล้วงลงไปผมก็ถึงบางอ้อ เพราะไอ้ตัวเจ้าปัญหานั้น มันมีอยู่จริงๆ ครับ ผมคว้ามันขึ้นมาโชว์ให้เจ้าหน้าที่ดู 
มันเป็นมีดพับจริงๆ ครับ ไม่ใช่แค่เล่มเดียวนะ มันพับเข้าหากันถึงสองเล่ม  ความยาวของมัน ไม่น่าจะถึงนิ้ว ติดมาเป็นพวงกุญแจบ้านที่ผมใช้ติดตัวมาพร้อมกับบ้านหลังนี้ ร่วมสิบกว่าปีแล้ว มีคนเขาให้ผมมา ผมก็ใช้มาอยู่พวงเดียวนี่แหละ ไม่เคยเปลี่ยน ไปไหนก็นำติดตัวไปด้วย และไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นอาวุธ จนลืมสนิทเวลาถูกถามที่สนามบิน
.
เรื่องของเรื่องที่ต้องนำมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะว่า เจ้าพวงกุญแจของผมมันก็ไปไหนมาไหนกับผมทุกครั้ง แล้วคิดดูสิครับว่า ในรอบสิบกว่าปีมานี้ ผมไม่ได้ขึ้นเครื่องบินกะเขาแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว 
แล้วรอดมาได้ไง? ขามาทำไมไม่เรียกตรวจเลย มาเรียกตรวจเอาขากลับ
.
ไม่เฉพาะเที่ยวนี้นะครับ นึกย้อนไปทุกครั้งที่ขึ้นเครื่อง ผมรอดมาได้ไงก็ไม่รู้ ตั้งสิบกว่าปี หรือว่าพวงกุญแจของผมมันหดจุ๊ดจู๋จนดูในเครื่องไม่เห็น 
ผมไม่ตำหนิเจ้าหน้าที่คนนั้น กลับชื่นชม เพราะเขาทำตามหน้าที่ ไม่ปล่อยปละละเลย หากผมเป็นคนคิดร้าย อะไรจะเกิดขึ้น
.
แต่หวนนึกย้อนอดีตไปแล้วก็ใจหาย ผ่านมาได้ไง(วะ)? สมมุติว่า คนนั่งข้างๆ ผมกะจะจี้เครื่องบิน แล้วดันรู้ว่า ผมมีอาวุธพกติดตัวมาด้วย เกิดดันสัมผัสผมเบาๆ ลูบไล้พอได้เคลิ้มหลับไปด้วยฤทธิ์ยา แล้วมาคว้าเอาพวงกุญแจที่มีอาวุธสั้นจุ๊ดจู๋ของผมไปใช้ในที่ที่ไม่ควรใช้ อะไรจะเกิดขึ้น? พาดหัวหน้าหนึ่งวันรุ่งขึ้นคงเสียวน่าดูนะครับ
.
สลัดอากาศคว้าอาวุธสั้นจู๋ของ “น้องณุ” 
จี้เครื่องกลางเวหาบังคับให้หันหัวกลับบ้าน