Daily Mirror
สร้างสรรค์มุมมอง
อย่างรอบด้าน
เห็นมิติที่กว้างกว่า
Daily Mirror
สร้างสรรค์มุมมอง
อย่างรอบด้าน
เห็นมิติที่กว้างกว่า
จากคำบรรยายเรื่อง “อำนาจที่แท้จริงของหนังสือ” โดย จักรภพ เพ็ญแข ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 17.00-18.00 น.
คุณจรัญ หอมเทียนทอง แห่งสำนักพิมพ์แสงดาว ในบทบาทกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และพี่ชายที่รู้จักกันมานานปี ชวนผมไปสนทนาเรื่องหนังสือในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ พ.ศ. 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม เวลา 17.00 น. ผมก็รับชวนทันทีไม่มีอิดเอื้อน แถมยังเสนอตั้งหัวข้อการสนทนาในวันนั้นว่า “อำนาจที่แท้จริงของหนังสือ” ซึ่งพี่จรัญก็ยินยอมพร้อมใจทุกอย่าง แล้วผมก็เริ่มคิดและเตรียมประเด็นตามหัวข้อนี้มาเรื่อยจนถึงวันที่ต้องพูด
ที่มาของความคิด
ผมเริ่มตรงที่ว่า ชีวิตในโลกตามภาวะปัจจุบันนี้ ทำให้เราต่างรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจน้อยลงจากสรรพสิ่งต่าง ๆ รอบตัว น้อยกว่ารัฐบาล น้อยกว่ากองทัพ น้อยกว่ากลุ่มธุรกิจทุนนิยมและพลังตลาด และน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานหรือแม้กระทั่งน้อยกว่าคอลล์เซ็นเตอร์และหรือขบวนการแชร์ลูกโซ่อย่างดิไอคอนที่กำลังถูกทำลายและจับกุม ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องลบ แต่กลับกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะสังคมทั้งโลกอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยน อำนาจใด ๆ ที่เคยรวมศูนย์และเราเคยยึดถือเป็นที่พึ่งได้ก็กลับแตกกระจายไปหมด จนบัดนี้ก็ยังรวมสังขารได้ไม่ติดนัก
ผู้คนทั่วโลกกำลังรู้สึกว้าเหว่ขาดที่ยึดเหนี่ยวอย่างรุนแรง สถาบันทางสังคมทั้งหลายถ้าไม่ถูกทำลายก็จะถูกตั้งคำถามแบบมีเจตนาร้าย สิ่งที่คนทั้งหลายเคยยึดเอาเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ปัจจัยในความสามารถในการแข่งขันของตน และวิธีดำรงชีวิตอย่างปกติสุข ก็มีอันเป็นไปทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความมึนงงสับสน โดยยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งจะสับสนมากขึ้น
คลื่นลูกที่ 3 แห่งข้อมูลข่าวสารตามทฤษฎีของ อัลวิน ทอช์ฟเลอร์ (Alvin Tofler) กำลังโถมทับเราอย่างเต็มที่ ชาวโลกบางคนกำลังโต้คลื่นนี้เมามัน สนุกสนานและได้รับผลประโยชน์มาก บางคนยังใช้เรือโต้คลื่น ไม่กล้าลงปะทะด้วยตัว และหวังพึ่งเรืออย่างเต็มที่ บางคนอยู่ในน้ำและกำลังรวมรวมแรงมาว่ายน้ำ และก็มีมากคนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจมน้ำและเริ่มคิดแบบกลัว ๆ ว่าจะรอดไปได้ไหม
เมื่อคำว่า อำนาจ มีความหมายถึงการควบคุมผู้อื่น ควบคุมบริบท-สถานการณ์ และควบคุมตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งมวลล้วนต้องการแล้ว ภาวะที่ได้เอ่ยมาแต่ต้น ก็คือความรู้สึกไร้อำนาจและไร้ตัวตน ขาดทั้งอำนาจควบคุมและอัตลักษณ์ในสังคมใหม่ ของคนส่วนใหญ่ในโลก
ณ ช่วงเวลาอันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของสภาพสังคมและประวัติศาสตร์ในยุคเปลี่ยนผ่านนี้เอง ผมมาวันนี้เพื่อเสนอต่อท่านทั้งหลายว่า วีรชน หรือ ฮีโร่ คนเก่า ยังช่วยชีวิตท่านทั้งหลายได้ในวันนี้และยุคสมัยนี้ นั่นคือ หนังสือ หรือ books อันเป็นพลังงานพิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชมานานนับพันปีของอารยธรรมมนุษย์ หนังสือยังมีอำนาจอย่างไม่เสื่อมคลาย และเป็นอำนาจที่ผมขอนำมาใช้ เพื่อเตือนให้เราได้รำลึกถึงตัวช่วย (helpers) ที่เราอาจหลงลืมหรือมองข้ามกันไป และเพื่อสะท้อนถึง “อำนาจที่แท้จริงของหนังสือ” กันสักพัก
หนังสือคืออะไร World Coach บอกว่า หนังสือคือ “…งานเขียนหรือพิมพ์ที่ประกอบด้วยหน้าหลายหน้าที่เย็บหรือติดกาวเข้าด้วยกันด้านหนึ่ง และเข้าปก…” ในขณะที่องค์การยูเนสโกจำกัดความว่า “…งานพิมพ์แบบไม่ประจำที่มีอย่างน้อย 49 หน้า ไม่รวมปก…“ ซึ่งล้วนเป็นคำจำกัดความทางกายภาพเท่านั้น ความจริงหนังสือเป็นเรื่องของจิตมากกว่าเทคนิคหรือกายภาพมากนัก และอำนาจของหนังสือก็ย่อมใหญ่โตกว้างขวางกว่านั้นมากด้วย
อำนาจที่แท้จริงของหนังสือ… ผมสรุปความในใจออกมาเป็น 9 ประการดังนี้ครับ
1. หนังสือช่วยค้นหาอัตลักษณ์ ความมั่นใจ และความมั่นคงให้กับจิตของเรา
2. หนังสือทำหน้าที่ระบบปฏิบัติการของสมอง (brains’ operating systems) แบบเดียวกับคอมพ์ สมองต้องการอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน และกำลังใจ เช่นเดียวกับร่างกายและจิตใจโดยรวม
3. หนังสือช่วยต่อสายใยสมอง แก้ปัญหาสมาธิสั้น
4. หนังสือช่วยเพิ่มความกล้าหาญ ลดความหยาบกร้าน และควบคุมเซลล์ก้าวร้าวในตัวเรา
5. หนังสือให้โลกส่วนตัวและให้ที่ยืนกับคนไม่ทะเยอทะยานหรือมีกิเลสน้อย
6. หนังสือคืออาวุธในการทำลายล้าง
7. หนังสือสามารถช่วยเปลี่ยนกระบวนทัศน์ ระบบความคิด และการวางแผนชีวิต โดยเฉพาะในระยะเปลี่ยนผ่านแห่งชีวิต
8. หนังสือใช้สมองหลายคนผลิต จึงน่าเชื่อถือว่าผลงานของปัจเจกชนที่นั่งส่งงานออกสู่สังคมจากโลกแคบและโดดเดี่ยว
9. หนังสือคือตัวแทนของคนทั้งคนในชีวิตอันแสนสั้น
ซึ่ง แหลม ตะลุมพุก ได้นำความมาถอดเป็นกลอนชื่อ “บ้านและหนังสือ” จนกลายเป็นอมตะ…
“บ้านใดที่มีหนังสือ
บ้านนั้นก็คือบ้านป่า
ถ้าแม้หนังสือนานา
สอนให้ประชามืดมน
ถอยหลังเข้าคลองข้องอยู่
ในเล่ห์ของผู้หวังผล
ขูดรีดหลอกลวงปวงชน
ย่อยยับอับจนนิรันดร์
หนังสือคือกองขยะ
หากมุ่งสาระเช่นนั้น
บ้านใดมีไว้อนันต์
ควรนับบ้านนั้นป่าดง
แม้เปรียบด้วยบานหน้าต่าง
เพียงเพื่ออำพรางให้หลง
เปิดเห็นทุ่งนาป่าดง
หาทางออกตรงไม่มี
สูรย์จันทร์นั่นสาดส่องหล้า
ห่อนเลือกเคหาเศรษฐี
หนังสือที่จัดว่าดี
ประโยชน์มากมีทั่วไป
คือสอนให้คนรู้หลัก
สัจจะประจักษ์แค่ไหน
สังคมบ่มร้ายเช่นไร
เปิดเผยแก้ไขเปลี่ยนแปลง
เช่นการรีดนาทาเน้น
ชี้ปมลับเร้นแอบแฝง
แลเล่ห์มารยาพลิกแพลง
เป็นการช่วยแรงปวงชน
หนังสือคือบานหน้า
ต่างยามเปิดสว่างให้ผล
ทำลายความมืดหมองมน
เพื่อประชาชนภิญโญ”
สำนักอักษรสาส์น
จักรภพ เพ็ญแข
19 ตุลาคม พ.ศ. 2567
#จักรภพ #จักรภพเพ็ญแข #หนังสือ #งานหนังสือ #มหกรรมหนังสือ #งานหนังสือ67 #มหกรรมหนังสือ67